Descriptive Alt Text

โรคงูสวัดคืออะไร

โรคงูสวัด (HERPES ZOSTER) เกิดจากเชื้อไวรัส Varicella Zoster ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส

หลังจากเป็นโรคอีสุกอีใส เชื้อไวรัส Varicella Zoster จะยังคงหลบซ่อนอยู่ในร่างกาย บริเวณปมประสาท และเมื่ออายุมากขึ้น หากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง

จะทำให้ไวรัสที่หลบซ่อนอยู่กำเริบขึ้นอีกครั้ง
และก่อให้เกิดโรคงูสวัดได้1
เมื่อเป็นโรคงูสวัด จะมีอาการที่แสดงออกมาเป็นลักษณะผื่นตุ่มน้ำใส ที่บริเวณด้านซ้ายหรือด้านขวาของร่างกาย และอาจมีอาการเจ็บปวดอื่นๆร่วมด้วย1,2

สิ่งที่คุณควรรู้
เกี่ยวกับ โรคงูสวัด

คุณควรรู้ว่าโรคงูสวัดคืออะไร หากคุณรู้ถึงสาเหตุ ความเสี่ยง และการรักษา คุณจะสามารถป้องกันและดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้อง และทันท่วงที

สาเหตุของโรคงูสวัดคืออะไร

ส่วนใหญ่หากเคยเป็นโรคอีสุกอีใส และหลังจากหายแล้ว เชื้อไวรัส Varicella Zoster จะยังอยู่ในร่างกาย เมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เชื้อไวรัสตัวนี้ก็จะสามารถกำเริบขึ้นมาอีก ซึ่งการกำเริบครั้งถัดมาจะทำให้เกิดโรคงูสวัด (หรือที่เรียกว่า Herpes Zoster) ปัจจัยที่อาจทำให้เชื้อไวรัสกำเริบ ได้แก่ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลงเมื่ออายุมากขึ้น จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมความเสี่ยงต่อโรคงูสวัดถึงเพิ่มขึ้นตามอายุ 1

ซึ่งโดยปกติคนเราจะเป็นโรคงูสวัดแค่ครั้งเดียว แต่ก็มีโอกาสเป็นซ้ำอีกได้ 2 หากมีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอก็มีเสี่ยงที่จะเป็นโรคงูสวัดได้เช่นกัน 1

ผื่นงูสวัดจะอยู่นานแค่ไหน

โรคงูสวัดมักทำให้เกิดผื่นที่ก่อความเจ็บปวดซึ่งมักเป็นตุ่มน้ำใส โดยสะเก็ดจะหลุดออกใน 10 ถึง 15 วันและหายไปภายใน 2 ถึง 4 สัปดาห์ ตามปกติแล้วผื่นมักปรากฏที่ด้านใดด้านหนึ่งของร่างกายหรือใบหน้า 48-72 ชั่วโมงก่อนที่ผื่นจะปรากฎ อาจมีอาการเจ็บปวด คัน รู้สึกเสียวเหมือนไฟช๊อต หรือมีอาการชาตรงบริเวณที่ผื่นจะเกิดขึ้น1,2

โรคงูสวัดที่ดวงตาคืออะไร

โรคงูสวัดที่ดวงตา คือ การติดเชื้องูสวัดที่บริเวณ ดวงตาและลูกตา มีอาการได้แก่ ผื่นที่หน้าผากและการอักเสบบริเวณเนื้อเยื่อดวงตา และรอบดวงตา3

ความเครียดเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคงูสวัดหรือไม่

ความเครียดอาจจะเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในการเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคงูสวัด3 แต่ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดให้เกิดโรคงูสวัด คืออายุเนื่องจากโรคงูสวัดส่วนใหญ่ มีโอกาสเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เนื่องจากภูมิคุ้มกันที่ลดลงตามอายุ1

โรคงูสวัดเป็นโรคติดต่อหรือไม่

โรคงูสวัดเกิดขึ้นเมื่อเชื้อไวรัสที่อยู่ในร่างกายเกิดการกำเริบ ดังนั้นจึงไม่สามารถแพร่เชื้อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใสและโรคงูสวัดคือเชื้อชนิดเดียวกัน หากคนที่ไม่เคยเป็นโรคงูสวัดหรือไม่ได้รับการป้องกันโรคอีสุกอีใสมาสัมผัสกับตุ่มน้ำใสของผู้ที่เป็นโรคงูสวัด พวกเขาอาจเป็นโรคอีสุกอีใสได้4

ทำไมผู้สูงอายุ ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ถึงเสี่ยงกับโรคงูสวัด

ความเสี่ยงในการเกิดโรคงูสวัดจะเพิ่มขึ้นตามอายุ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลงเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้เชื้อไวรัสที่แอบอยู่ในร่างกาย กำเริบได้ง่าย1บางคนอาจไม่ทราบว่าตนเองเคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน หรือจำไม่ได้ว่าเคยเป็นหรือไม่ ซึ่งคนเหล่านี้อาจมีเชื้อไวรัสอยู่แล้วด้วย1โดยผู้สูงอายุยังมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น อาการปวดตามเส้นประสาท (PHN) หลังจากเป็นโรคงูสวัด1

หากไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส จะมีความเสี่ยงอยู่หรือไม่

หากคุณไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส คุณจะไม่สามารถเป็นโรคงูสวัดได้ แต่หากคุณมีการสัมผัสกับเชื้อไวรัสโดยไม่รู้ตัว ก็อาจจะทำให้คุณมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคงูสวัดได้4หากคุณเป็นงูสวัด หรือมีอาการใกล้เคียง แนะนำให้ปรึกษากับแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับการป้องกัน และรักษาโรคงูสวัด

การป้องกันและการรักษา

การรักษาสามารถลดความรุนแรงและระยะเวลาของการติดเชื้อได้1การฉีดวัคซีนยังเป็นวิธีเดียวที่สามารถป้องกันการเกิดโรคงูสวัดและอาการปวดเรื้อรังหลังจากเป็นโรคงูสวัดได้5

มีวิธีใดที่สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคงูสวัดได้

การฉีดวัคซีนสามารถช่วยป้องกันโรคงูสวัดและอาการปวดเรื้อรังหลังจากงูสวัดได้ หากคุณมีข้อสงสัยเรื่องวัคซีน ควรปรึกษากับแพทย์ พยาบาล หรือเภสัชกรเกี่ยวกับการป้องกันโรคงูสวัด1

การฉีดวัคซีนช่วยป้องกันโรคงูสวัดได้อย่างไร

การฉีดวัคซีนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อโรคงูสวัด ส่งผลให้ร่างกายของคุณสามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ดีขึ้นและป้องกันไม่ให้มีการกำเริบอีก6 โรคงูสวัดเกิดจากการกำเริบของเชื้อไวรัสก่อโรคอีสุกอีใสที่ยังคงอยู่ในร่างกายของคุณ ซึ่งหากคุณไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่กำลังเป็นโรคอีสุกอีใสและโรคงูสวัด รวมถึงการล้างมือและการดูแลสุขอนามัยเมื่อมีอาการไอก็เป็นวิธีป้องกันตัวเบื้องต้นที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอีสุกอีใส และโรคงูสวัดได้3

วิธีการรักษา หรือจัดการโรคงูสวัดได้อย่างไร

การรักษาอาจลดความรุนแรงและระยะเวลาของความเจ็บป่วย อาจรวมถึงการทำให้เชื้อไวรัสอ่อนแอลง และ/หรือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ซึ่งขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละคน7หากคุณคิดว่าคุณอาจเป็นโรคงูสวัด แนะนำให้เข้าพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อรับการรักษาและวิธีป้องกัน ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาของอาการ คำแนะนำทั่วไปในการดูแลกับอาการต่าง ๆ ควรดูแลผื่นคันให้สะอาด และแห้งสะอาดอยู่เสมอ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรสวมใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ ไม่รัดตัว เพื่อป้องกันการเสียดสี ควรใช้การประคบเย็น 2-3 ครั้ง/วัน7คลิก เพื่อเรียนรู้วิธีการป้องกันตัวเองและคนที่รัก (TBA)

ทางเลือกในการป้องกัน

โรคงูสวัด

ปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับโรคงูสวัดและแนวทางการป้องกันโรค

Healthcare Image
Descriptive Alt Text
close
Arrow up

*รูปภาพแพทย์ถูกสร้างด้วยความช่วยเหลือจาก Artificial Intelligence